ข้อความที่สมบูรณ์: แผนการความรอดอันยอดเยี่ยมของพระเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ตกสู่ความบาปที่เรียกว่าซาตานหรือมาร มันถูกขับออกจากสวรรค์และเป็นสาเหตุของความชั่วร้ายทั้งหมด มันทำให้ความโศก ความทุกข์ ความเจ็บไข้ ความตายเข้ามาในโลก
จุดเริ่มต้นที่น่าเศร้าของบาป
พระเจ้ารักอาดัมและเอวา พระองค์ทรงสร้างสวนสวยงามให้พวกเขาอยู่อาศัยเรียกว่าสวนเอเดน อาดัมต้องดูแลมัน ในสวนนี้มีผักและผลไม้มากมายให้พวกเขากิน มีต้นไม้ต้นหนึ่งชื่อว่า ต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว พระเจ้าบอกอาดัมว่าเขาไม่ควรกินต้นไม้นั้น เพราะในวันที่เขากินจากต้นนั้น เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน วันหนึ่งซาตานมาหาเอวาและโกหกเธอ มันบอกว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่…เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าที่รู้ดีรู้ชั่ว” (ปฐมกาล 3:4-5)
เมื่อเธอมองดูผลของต้นไม้ที่สวยงามนี้ เธอเห็นว่ามันน่ารับประทาน และการกินก็ทำให้เกิดปัญญา เธอหยิบผลไม้ให้อาดัม แล้วทั้งสองคนก็กิน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกผิดในใจ พวกเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน พวกเขารู้ว่าพวกเขาทำสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง ทั้งสองรู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงการไม่เชื่อฟังของพวกเขา ความกลัวเข้ามาในใจพวกเขาเมื่อนึกถึงการที่จะต้องพบพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ในสวน
ในช่วงเย็น พระเจ้าเรียกอาดัมและถามว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน” พวกเขาไม่สามารถซ่อนตัวจากพระเจ้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาเฝ้าพระองค์และยอมรับการกระทำผิดของพวกเขา พระเจ้าทำให้พวกเขาเข้าใจว่าการไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์เป็นบาปใหญ่เพียงใด พระองค์บอกพวกเขาว่าพวกเขาจะต้องถูกลงโทษสำหรับการไม่เชื่อฟังของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดและปัญหาในชีวิต พวกเขาจะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ร่างกายของพวกเขาจะแก่และทรุดโทรม พวกเขาจะตายและกลับไปเป็นผงคลีดินอีกครั้ง
หลังจากที่พวกเขาถูกขับออกจากสวนที่สวยงามแห่งนี้แล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งเครูบถือดาบเพลิงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขากินต้นไม้แห่งชีวิต พวกเขาเริ่มเข้าใจผลของบาปและความเศร้าโศกที่ยิ่งใหญ่ที่นำมา
ผลลัพธ์อันน่าเศร้าของการทำบาป
อาดัมและเอวาเสียใจมากสำหรับบาปที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทั้งๆ ที่พวกเขาทำบาป พระองค์ก็ยังทรงรักพวกเขา พระองค์สัญญาว่าจะส่งพระผู้ไถ่เพื่อความรอดของมนุษยชาติ
คาอินและอาแบลเป็นบุตรชายสองคนแรกที่เกิดมาจากอาดัมและเอวา วันหนึ่งพวกเขานำเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้า คาอินนำอาหารที่เขาผลิตได้มาถวายแด่พระเจ้า ส่วนอาแบลนำลูกแกะชั้นดีจากฝูงมาฆ่าหลั่งเลือดเป็นเครื่องบูชา เครื่องบูชาของอาแบลเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยคาอินหรือเครื่องบูชาของเขา
เมื่อคาอินเห็นว่าพระเจ้าพอพระทัยอาแบล ในใจของเขาเริ่มมีความอิจฉาริษยาและเกลียดชังอาแบล วันหนึ่งขณะที่พวกเขาอยู่ด้วยกันที่ทุ่งนา คาอินก็ลุกขึ้นฆ่าอาแบลน้องชายของเขา พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า “อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน” คาอินไม่เต็มใจที่จะพูดความจริง เขาจึงพูดว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องชายหรือ” (ปฐมกาล 4:9) คาอินไม่เชื่อฟังในการทำตามคำแนะนำของพระเจ้า พระเจ้าเตือนเขาก่อนที่เขาจะฆ่าอาแบลว่าถ้าเขาทำดีเขาจะได้รับการยอมรับ เพียงแต่เขาเปลี่ยนทัศนคติและรักน้องชายของเขา! เป็นอีกครั้งหนึ่งที่บาปเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องแยกจากที่ประทับของพระเจ้า คาอินกลายเป็นผู้ลี้ภัยและพเนจร
พระเจ้ารักโลกมากจนได้ประทานพระบุตร
“เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิด...” (ลูกา 2:11)
หลังจากอาแบลตายและคาอินออกจากบ้าน อาดัมและเอวาก็มีบุตรชายอีกหนึ่งคนชื่อเสท เขาเป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้าและพระเจ้าได้อวยพรลูกหลานของเสท พวกเขาได้ยินและเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดที่จะทรงปลดปล่อยพวกเขาในวันหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อับราฮัมที่เชื่อพระเจ้า เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า พระองค์บอกเขาว่าทุกครอบครัวในโลกจะได้รับพรผ่านทางลูกหลานของเขา
หลายร้อยปีต่อมา พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามสัญญาของพระองค์ในการส่งพระผู้ช่วยให้รอดเข้ามาในโลก สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ในเมืองเล็กๆ ชื่อเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย นางมารีย์ซึ่งเป็นสาวพรหมจารีย์ได้คลอดทารกคนหนึ่งในโรงวัว (ลูกา 2:1-7) ทูตสวรรค์บอกมารีย์ว่าชื่อของทารกคือพระเยซู (หมายถึงพระผู้ช่วยให้รอด) เขาจะกลายเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ที่จะบอกผู้คนมากมายเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซูเติบโตขึ้นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เมื่ออายุได้สิบสองปี พระองค์ทรงเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าดีกว่าแพทย์และทนายความหลายคนในเยรูซาเล็ม ดูเหมือนพระองค์จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับบทบัญญัติและคำพยากรณ์ ไม่มีใครสามารถถามคำถามที่พระองค์ตอบไม่ได้
พระเยซูทรงสนพระทัยความต้องการของผู้คนของพระองค์อย่างมาก เมื่อพระองค์อายุได้สามสิบปี พระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในธรรมศาลา วันหนึ่งพระองค์ทรงอ่านคำพยากรณ์ในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ เมื่อพระองค์อ่านจบแล้ว พระองค์ตรัสกับผู้คนว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” (ลูกา 4:21) พระองค์ทรงสอนผู้มีสิทธิอำนาจ พระองค์เทศนาว่าอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม และการกลับใจนั้นจำเป็นสำหรับการเข้าสู่อาณาจักร พระองค์สอนให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าด้วยความถ่อมตัวและจริงใจ พระองค์ทรงตำหนิคนจองหองและคนที่ไม่เชื่อเนื่องจากบาปของพวกเขา และประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรักแก่คนยากจนและคนขัดสน
พระเยซูเสนอชีวิตนิรันดร์
พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่เชื่อในเรานั้นถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิต อีก” (ยอห์น 11:25)
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์มากมาย พิสูจน์ให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะส่งมา พระองค์ทรงรักษาคนป่วย ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น ทำให้คนหูหนวกได้ยิน ขับผีออกและทำให้คนตายฟื้นขึ้น พระองค์ทรงเดินบนน้ำและทำให้ทะเลที่มีพายุสงบด้วยพระวจนะของพระองค์ พระองค์ตรัสกับต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง และวันรุ่งขึ้นก็พบว่าต้นไม้นั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก พระองค์เลี้ยงคนหิวโหยมากกว่าห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว เมื่อทุกคนมีอาหารเพียงพอ ก็ยังมีอาหารเหลืออยู่สิบสองตะกร้า
ชาวประมงจับปลาได้เป็นจำนวนมากเมื่อทอดแหตามพระบัญชาของพระองค์ วันหนึ่งพระเยซูทรงพบคนโรคเรื้อนสิบคนที่ได้ยินถึงชื่อเสียงของพระองค์ พวกเขาร้องว่า “ท่านอาจารย์ โปรดเมตตาพวกเราด้วย” โดยพระวจนะของพระองค์พวกเขาได้รับการรักษาให้หาย
ฝูงชนจำนวนมากติดตามพระเยซูทุกวัน ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ในเมืองหรือเดินทางตามถนน ผู้คนได้รับพรด้วยพระวจนะของพระองค์ ด้วยความกรุณา ความเห็นอกเห็นใจ และการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ
พระองค์เริ่มบอกผู้คนว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และพระเจ้าคือพระบิดาของพระองค์ ทุกคนที่เชื่อพระวจนะของพระองค์จะได้รับพร พระองค์บอกคนที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า
พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย และถ้าเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย” (ยอห์น 14:2-3) สถานที่ในสวรรค์นี้มีไว้สำหรับคริสเตียนแท้ทุกคน
“ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก” (มัทธิว 25:34)
พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา
“เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น” (ลูกา 23:33)
พวกธรรมาจารย์และฟาริสีขุ่นเคืองพระเยซูและคำสอนของพระองค์เป็นอย่างมาก พระองค์มักจะตำหนิพวกเขาว่าแสวงหาเกียรติและหาเงินอย่างผิดกฎหมาย พวกเขาอิจฉาและริษยาพระเยซูมาก เพราะมีคนมากมายเชื่อในพระองค์ ติดตามพระองค์ และสรรเสริญพระองค์ พวกเขากลัวว่าผู้คนจะทำให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
พวกเขาพยายามทำให้พระเยซูพูดหรือทำสิ่งที่จะทำให้ผู้คนหมดศรัทธาในพระองค์ แต่พระเยซูทรงฉลาดเกินไปสำหรับพวกเขา ความเกลียดชังและความโกรธของพวกเขาเพิ่มขึ้นเมื่อความนิยมของพระเยซูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันเริ่มใหญ่โตจนพวกเขาวางแผนสังหารพระองค์
พวกเขานำพระเยซูขึ้นศาลและตั้งข้อหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดและหมิ่นประมาท พวกเขาตั้งข้อหาเท็จมากมายต่อพระองค์ แล้วพวกเขาก็พาพระองค์ไปหาปอนทิอัส ปีลาต ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดียของโรมัน ปีลาตไม่พบความผิดในพระเยซู เขาจึงตัดสินใจปล่อยพระองค์ แต่ผู้กล่าวหาพระเยซูกลับกลายเป็นฝูงชนที่โกรธเกรี้ยวและร้องว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย” เมื่อปีลาตได้ยินเสียงร้องโวยวายและขู่เข็ญ เขาก็ยอมทำตามข้อเรียกร้องและมอบพระเยซูไว้กับพวกเขา พวกเขาจับพระเยซูและสวมมงกุฎหนามบนพระเศียรของพระองค์ และเรียกพระองค์อย่างเยาะเย้ยว่าเป็นกษัตริย์ พวกเขาถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์พระองค์และทุบตีพระองค์อย่างทารุณ สุดท้ายพวกเขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนและปล่อยให้พระองค์สิ้นพระชนม์
พระเยซูถูกประหารชีวิตอย่างไร้ความผิด เหมือนกับลูกแกะที่อาแบลถวายบนแท่นบูชาเมื่อหลายร้อยปีก่อน อาแบลได้ถวายลูกแกะของเขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระเมษโปดกของพระเจ้าที่จะสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของโลก ผู้เผยพระวจนะในสมัยโบราณยังบอกล่วงหน้าถึงการทนทุกข์และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมากล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16)
พระเยซูทรงฟื้นจากความตายเพื่อปลดปล่อยเรา
“พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น มาดูที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้บรรทมอยู่นั้น” (มัทธิว 28:6)
ในวันที่สามหลังจากที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และถูกฝังในอุโมงค์ วันนั้นเป็นวันแรกของสัปดาห์ผู้หญิงหลายคนได้มาที่อุโมงค์ฝังศพเพื่อชโลมพระวรกายของพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่ พวกนางประหลาดใจที่พบว่าอุโมงค์ฝังศพว่างเปล่า ร่างของพระเยซูหายไป! หัวใจของพวกนางเป็นทุกข์ ทันใดนั้น ทูตสวรรค์สององค์สวมอาภรณ์แวววาวยืนอยู่ข้างพวกนาง กล่าวว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว” (ลูกา 24:5-6) พวกนางรีบกลับไปบอกเหล่าสาวกถึงสิ่งที่พวกนางได้เห็นและได้ยิน พวกสาวกไม่เชื่อเรื่องของพวกนาง เปโตรกับยอห์นจึงไปสำรวจด้วยตนเอง พวกเขาก็พบว่าหลุมฝังศพว่างเปล่าเช่นกัน พวกเขาเข้าไปและเห็นผ้าลินิน และผ้าที่ใช้พันรอบพระเศียรของพระเยซูถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้พวกเขาก็เชื่อเรื่องที่เหล่าสตรีได้เล่าให้ฟัง ในตอนเย็นของวันเดียวกัน เหล่าสาวกอยู่ด้วยกันในห้องที่ปิดล็อคประตูเพราะพวกเขากลัวชาวยิว ทันใดนั้นพระเยซูทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด” พระองค์แสดงพระหัตถ์และสีข้างที่ถูกแทงให้พวกเขาดู เมื่อพวกเขาเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาก็ดีใจและเชื่อว่าพระองค์คือพระเยซูองค์เดียวกันที่ถูกตรึงที่กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตาย หลังจากนั้นพระเยซูทรงแสดงพระองค์เองแก่ผู้คนมากมายซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
เช้าที่พระเยซูทรงฟื้นจากความตายยังคงเป็นวันรุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันนี้ แผนการแห่งความรอดอันยอดเยี่ยมของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ แผนการแห่งความรอดนี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงจิตใจและชีวิตของมนุษย์โดยพระคุณของพระเจ้าผ่านศรัทธาในการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์ 5:17) บัดนี้ทุกคนที่รับพระเยซูไว้ในใจและติดตามพระองค์อย่างเชื่อฟังจะฟื้นคืนชีพและอยู่ในสวรรค์ตลอดไป พระเยซูตรัสว่า “เพราะเราเป็นอยู่ ท่านทั้งหลายจะเป็นอยู่ด้วย” (ยอห์น 14:19)
ข้อความนี้พูดกับหัวใจของคุณหรือไม่? คำตอบของคุณคืออะไร? คุณจะกลับใจและเชื่อพระกิตติคุณหรือไม่? “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) วันนี้ขอเชิญท่านเข้ามาหาพระเยซู อย่าได้รอช้าเลย
ติดต่อเรา
ใบสั่งซื้อ